21.12.53

เมลอนกับกีวีปั่น

เมล่อน





เมล่อน (Melon) เป็นพืชอยู่ในตระกูลแตง ลักษณะจะคล้ายๆแคนตาลูป ผิวเปลือกจะขรุขระลักษณะตาข่าย สีเขียวเข้ม เมื่อสุกมีความแตกต่างกันที่รสชาติกลิ่นความหอมหวาน เนื้อเหนียวแน่นกว่า
เป็นแหล่งวิตามินซี กีวีมีปริมาณวิตามินซีสูงสุดหากเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นๆ อย่าง ส้ม หรือมะละกอ จากการวิจัยพบว่า กีวี หนึ่งผลมีวิตามินซีมากกว่าส้มหนึ่งลูกถึง 74% การรับประทานกีวีสองผลต่อวันจะช่วยเพิ่มปริมาณวิตามินซีในร่างกายอย่างเห็นได้ชัด ช่วยกระตุ้นการทำงานของภูมิคุ้มกันโรคซึ่งเป็นเกราะธรรมชาติที่ช่วยป้องกันไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ และซ่อมแซมร่างกายส่วนที่สึกหรอและกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ
กีวี
กีวีมีโฟเลต ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างสารพันธุกรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กทารกและคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายต้องการเซลล์ใหม่เป็นจำนวนมาก การรับประทานโฟเลตเป็นประจำทั้งก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ ยังช่วยทำให้ผิวและเซลล์เม็ดเลือดมีสุขภาพดี กีวีมีปริมาณโฟเลตสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบกับกล้วย มะม่วง สัปปะรด และแอปเปิ้ล โดยมากกว่ากล้วกีวีย 49% และมากกว่ามะม่วงถึง 112.8%
นอกจากนี้กีวียังมีวิตามินอี ช่วยชะลอความแก่ สารต้านอนุมูลอิสระที่ลดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ คุณสมบัติที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระของวิตามินอี นอกจากจะช่วยป้องกันเซลล์จากการเสื่อมสภาพแล้ว ยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยในการไหลเวียนของเลือดอีกด้วย จากการวิจัยพบว่ากีวีมีปริมาณวิตามินอีสูงสุด โดยเฉพาะ กีวีทอง ซึ่งมีวิตามินอีมากกว่ามะม่วงถึงหนึ่งเท่า
กีวีเป็นผลไม้ที่ทีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารเป็นสารที่ไม่ให้พลังงานในร่างกาย กีวีหนึ่งผลมีปริมาณไฟเบอร์มากกว่ากล้วย 15% และมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25%

คุณค่าทางโภชนาการแก้วนี้
* พลังงาน 74.55 กิโลแคลอรี
* คาร์โบไฮเดรต 18.6 กรัม
*วิตามินเอ 3515.1 ไมโครกรัม
*วิตามินซี 115.6 มิลลิกรัม
*แคลเซียม ไมโครกรัม

ส่วนผสม
กีวี 140 กรัม.
เมลอน 100 กรัม
น้ำแร่ ½ ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

13.12.53

แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ กับใบสะระแหน่ปั่น

แตงโม สตรอว์เบอร์รี่ กับใบสะระแหน่ปั่น

ก่อนอื่นเรามารู้คุณค่าของแตงโม สตรอว์เบอร์รี่ กับใบสะระแหน่ปั่น แก้วนี้กันก่อน
แตงโมนั้นมีคุณค่าทางอาหาร คือมีวิตามินA ช่วยบำรุงสายตาและวิตามินC ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟันนอกจากนี้ แตงโมยังช่วยขับปัสสาวะ แก้ปากเป็นแผล แก้ร้อนใน แก้กระหายน้ำ
สตรอว์เบอร์รี่ มีวิตามินA ฟอสฟอรัส แคลเซียม และที่สำคัญคือมีวิตามินC สูง โดยในวิตามินซีนั้นมีกรดอินทรีย์สำคัญที่เรียกว่า "กรดแอสคอร์บิก" (ascorbic acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายต่อโรคภัยต่างๆ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคหวัด เป็นต้น ที่สำคัญคือ ช่วยชะลอความแก่และริ้วรอยก่อนวัยอันควร
คุณค่าทางโภชนาการ
* พลังงาน 114.07 กิโลแคลอรี
* คาร์โบไฮเดรต 25.13 กรัม
* เบตาแคโรทีน 244 ไมโครกรัม
*วิตามินเอ 131.5 ไมโครกรัม
*วิตามินซี 217.2 มิลลิกรัม
*แคลเซียม 95.175 ไมโครกรัม

ส่วนผสม
เนื้อแตงโม 200 กรัม
สตรอว์เบอร์รี่ 200 กรัม
น้าผึ้ง ¼ ช้อนโต๊ะ
น้ำสะอาด ¼ ถ้วย
เกลือป่นเล็กน้อย
ใบสะระแหน่เด็ดเฉพาะใบนิดหน่อย

วิธีทำ
1. ฝานเนื้อแตงโมเป็นชิ้นเล็ก ๆ ตัดขั้วบนสตรอว์เบอร์รี่ออก ผ่าครึ่งใส่ตู้เย็นแช่ไว้ประมาณ 30 นาที
2. ใส่ส่วนผสมทั้งหมดในเครื่องปั่น ปั้นให้เข้ากันจนเนื้อเนียน
3. เทใส่แก้ว ดื่มสดๆได้ทันที

7.12.53

แครอทกับลูกแพร์ปั่น

แครอท


ก่อนอื่นเรามารู้จักคุณค่าของแครอทกับลูกแพร์กันก่อน


-แครอทนั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวพรรณและ เนื้อเยื่อต่างๆ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญๆในร่างกาย มี

-ส่วนลูกแพร์นั้น มีสรรพคุณ เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยทำความสะอาดไต มีวิตามินซี กรดโฟลิก ไนอาซิน แคลเซียมโพแทสเซียม และ แมกนีเซียม ช่วยทำความสะอาดลำไส้ รักษาระดับน้ำตาลในเลือด ให้คงที่จะดีอย่างยิ่งหากกินในช่วงแรกของการล้างพิษ ลูกแพร์ยังมีแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติเป็นด่าง ซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่เหมาะที่จำนำมากินในช่วงล้างพิษ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ช่วยชะล้างของเสียที่สะสมอยู่ในไต ก่อนที่ของเสียเหล่านั้นจะตกผลึกกลายเป็นก้อนนิ่ว หากกินทั้งผลจะได้รับเส้นใยอาหารและกรดไฮดรอกซีซินนามิก ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ลูกแพร์ยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและเส้นใยเพ็กติน ที่ช่วยขับโลหะหนัก ออกจากร่างกายลูกแพร์


คุณค่าทางโภชนาการของแครอทกับลูกแพร์ปั่น
* ให้พลังงาน 240 กิโลแคลอรี
*แคลเซียม 60 ไมโครกรัม
*วิตามิน A 1178 ไมโครกรัม
* คาร์โบไฮเดรต 42.1 กรัม
*วิตามิน C 3 มิลลิกรัม
* เบตาแคโรทีน 6994 ไมโครกรัม

แครอทกับลูกแพร์ปั่น
ส่วนผสม
แครอท 100 กรัม
ลูกแพร์ 300 กรัม
น้ำแอปเปิ้ล ½ ถ้วย

วิธีทำ
1. ปอกเปลือกลูกแพร์ หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แช่ในตู้เย็นให้เย็นจัด
2. หั่นแครอทเป็นท่อนเล็ก ๆ แช่เย็นก่อน แล้วนำมาใส่เครื่องแยกกากคั้นเอาแต่น้ำ
3. ใส่ลูกแพร์แช่เย็นในเครื่องปั่น ตามด้วยน้ำแครอทที่แยกกาก น้ำแอ๊ปเปิ้ล ปั่นให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเทใส่แก้ว ดื่มขณะเย็นๆได้ทันที

23.11.53

สมูทตี้บลูเบอร์รี่



สมูทตี้บลูเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพ เป็นผลไม้ที่มีการพบปริมาณของสารต้านอนุมูลอิสระ ในปริมาณสูงที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกายและสารอีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง และจากผลวิจัยล่าสุดนี้เองที่พบว่าสารที่มีมากในบลูเบอร์รี่คือเพคตินที่ทำหน้าช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในร่างกาย และยังมีการวิจัยอื่นๆ อีกที่สนับสนุนว่าบลูเบอร์รี่ช่วยเพิ่มความสามารถในการจำอีกด้วย วันนี้ลองมาทำสมูทตี้บลูเบอร์รี่ กันดีกว่า


คุณค่าทางโภชนาการของสมูทตี้บลูเบอร์รี่
* พลังงาน 449.9 กิโลแคลอรี
* คาร์โบไฮเดรต 59.2 กรัม
* เบต้าแคโรทีน 32.5 ไมโครกรัม
* วิตามินเอ 425.1 ไมโครกรัม
* วิตามินซี 26.2 มิลลิกรัม
* แคลเซียม 65.26 ไมโครกรัม

ส่วนผสม
บลูเบอร์รี่สด 100 กรัม
นมถั่วเหลือง 200 กรัม
ใบสะระแหน่ ½ ถ้วย
โยเกิว์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโตะ
ใบสะระแหน่สำหรับตกแต่ง

วิธีทำ
1 แช่บลูเบอร์รี่ในช่องแช่แข็งให้เย็นจัด
2 ปั่นบลูเบอร์รี่รวมกับโยเกิร์ต นมถั่วเหลืองใบสะระแหน่ และน้ำผึ้ง จนเนื้อเนียนเข้ากัน
3 เทใส่แก้ว แต่งด้วยใบสะระแหน่

9.11.53

สมูทตี้ผักชี กับแตงโมเหลือง

สมูทตี้ผักชี กับแตงโมเหลือง สมูทตี้ผักชี กับแตงโมเหลือง



สมูทตี้ผักชีกับแตงโมเหลือง แก้วนี้ ประกอบไปด้วยผักชี ซึ่งมีประโยชน์ทั้งลำต้น ราก ใบและลูก อาหารไทยส่วนมากมักโรยหน้าด้วยใบผักชีเพื่อแต่งกลิ่นและตกแต่งให้อาหารน่ากิน

ประโยชน์ของผักชี :มีฤทธิในการขับลม,ขับปัสสาวะ
แตงโมเหลือง :อุดมด้วยเบตาแคโรทีน ช่วยชะล้างของเสียในไต ลดความดันโลหิต

คุณค่าโภชนาการ
- บิตามินA 5,817.75 ไมโครกรัม
- วิตามินC 94.85 มิลลิกรัม
- พลังงาน 152.9 กิโลแคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 32.4 กรัม
- เบต้าแคโรทีน 65.575 ไมโครกรัม
- แคลเชียม 250.1ไมโครกรัม


ส่วนผสม
- ผักชี 120 กรัม
- แตงโมเหลีอง 250 กรัม
- นมเปรี้ยวรสรรมชาติ ¼ ถ้วย
- น้ำมะนาว 1ช้อนชา
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา
- น้ำแข็งก้อน

วิธีทำ
1. ล้างผักชีให้สะอาด หั่นหยาบ ๆ
2 หั่นแตงโมเหลืองเป็นชิ้นๆ แช่เย็นให้เย็นจัด
3. ใสส่วนผสมทั้งหมด (ยกเว้นน้ำแข็ง) ในเครี่องปั่นปั่นให้เป็นเนี้อเดียวกัน
4. เทใส่แก้ว ก่อนดื่มเติมน้ำแขุงสัก 4-5 ก้อน สมูทตี้ผักชี กับแตงโมเหลือง

5.11.53

ประโยชน์ของผักและผลไม้ต่างๆ

ผักและผลไม้

เรารู้แล้วว่า ผักและผลไม้นั้น ให้คุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายคนเรา ลองมาดูกันสิว่า ประโยชน์ของผักผลไม้ชนิดต่างๆ ให้คุณค่าอะไรแก่เราบ้าง


พริกต่าง ๆ
อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยลดความเสื่อมของกล้ามเนื้อ ยับยั้งการติดเชื้อในทางเดินหายใจ
ช่ายป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพในการฟี้นฟูร่างกายจากโรคหืด
หลอดลมอักเสบ และอุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้เล็บ ผิวหนัง และเส้นผมเงางาม มีสุขภาพดี

ลูกสำรอง
เป็นสมุนไพรไทยยอดฮิดในปัจจุบัน มีสรรพคณคือ แก้ไอ ขับเสมหะ แอ้ไข้ แก้
ท้อง เสีย รักษาโรคผิวหนัง และคณสมบัติที่สำคัญสำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เนื้อวุ้น
สำรองมีฤทธิ์เป็นยาระบาย กินแล้วอิ่มท้อง จึงกินลูกสำรองเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก

ต้นกล้าข้าวสาลี หรือ Wheatgrass
เป็นพืชที่มีคลอโรฟิลล์มากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นน้ำคั้นจากต้นกล้าข้าวสาลีอ่อนจึงอุดมไปด้วย
ออกชิเจน ช่วยส่งเสริมการทำงานของร่างอายและสมอง มีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียทำให้แผลหายเร็ว
ช่วยฟื้นฟูระบบหมุนเวียนของเลือด นอกจากนี้ ยังมีคุณสมบัติในการช่วยล้างพิษและสารเคมี
ออกจากร่างกาย ช่วยทำความสะอาดตับ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และยังช่วยรักษาสิว
ทำให้ผมดกดำ ลดกลิ่นตัว กลิ่นปาก และยังอุดมไปด้วยเอนไซม์ที่ดีต่อสุขภาพ

เอพริคอต
อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี จึงมีคุณสมบัติในการ
บำรุงผิวพรรณให้สดชี่น สุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีสารด้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยป้องกันโรค
มะเร็งและสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

แอ๊ปเปิ้ล
เป็นผลไม้ที่ช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย เเละมีสารที่ช่วยนำสารมีพิษไปกำจัดทิ้ง
ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่านอกจากนี้ยังมีเส้นใยมาก จึงทำหน้าที่ทำความ
สะอาดลำไส้ ช่วยให้ขับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้นกระตุ้นน้ำย่อย มัวิตามินและเกลีอแร่
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก เพราะมีสาต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดคอเลสเตอรอล
ทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างภาย และยังอุดมด้วยสารอาหาร
ที่ช่วยย่อยไขมันชนิดต่างๆ


ฟิก หรือมะเดื่อฝรั่ง
มีคุณสมบัติเนยารักษาโรค ช่วยระงับการเจริญเติบโตของมะเร็งลำไส้และทำให้ระบบ
ขับถ่ายดีขึ้น มีปริมาณคาร์ใบไฮเดรตและพลังงานความร้อนสูง ประกอบด้วยน้ำ ตาล
ได้แก่่ กลูโคส ฟรักโทส และซูโครส

องุ่น
เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ลำไส้ ตับและไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติ
รักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย
อุดมไปด้วยเกลือเเร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและเสริมสร้างเซลล์ในร่างกาย

ฝรั่ง
ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ชะลอการลุกลามของมะเร็ง ช่วยทำให้แผลหายเร็ว
ช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวและสร้างภูมิคุ้มกัน จึงสามารถป้องกันการเป็นหวัดได้
มะปราง หรือมะยงชิด
มีคุณสมบัติเป็นยาถอนพิษไข้เเละถอนพิษผิดสำแดง มีรสเปรี้ยวอมหวาน แก้เสมหะ
ขับเสมหะในคอ แก้น้ำลายเหนียว และฟอกโลหิตได้

8.10.53

น้ำผักกาดขาว

น้ำผักกาด



ผักกาดขาวนั้นนอกจากนำมารับประทานเป็นผัดสดและปรุงสุกแล้ว ยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องดื่มอย่างเช่น น้ำผักกาดขาวได้อีกด้วย เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานผักสดหรือไม่สะดวกในการเคี้ยว

ส่วนผสม
ผักกาดขาว 200 กรัม
แอ๊ปเปิ้ลแดง 50 กรัม
น้ำสับปะรด 1 ถ้วย
น้ำแข็งก้อน
ผงอบเชย
วิธีทำ
1. ล้างผักกาดขาวให้สะอาด แกะผักกาดขาวออกเป็นใบ ๆ
2.หั่นแอบเปิ้ลแดงเป็นชิ้นๆ เอาแกนกลางออกด้วย
3. ใส่ผักกาดแล้วตามด้วยแอปเปิ้ลลงในเครี่องแยกกากคั้นเอาแต่น้ำ
4. เทใส่แก้ว ใส่น้ำสับปะรดลงไปผสม คนให้เข้ากัน
ก่อนดื่มเติมน้ำแข็งลงไปสัก 4-5 ก้อณ โรยหน้าด้วยผงอบเชย

**อาจจะดัดแปลงสูตรโดยผสมกับน้ำผลไม้อย่างอื่นก็ได้ เช่น น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว ฯลฯ ก็จะทำให้ได้รสชาติแปลกใหม่ขึ้น
ผักกาด
คุณค่าทางโภชนาการ
* พลังงาน 126 กิโลแคลอรี่
* คาร์โบไฮเดรต 25.3 กรัม
* วิตามินเอ 6,101.5 ไมโครกรัม
* วิตามินC 151 มิลลิกรัม
* แคลเซียม 250 ไมโครกรัม

6.10.53

น้ำสับปะรด

น้ำสับปะรด
สับปะรดเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วย วิตามินซีสูง ช่วยเสริมสร้างภุมิคุ้มกันทำให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ
ลองหันมากินสับปะรดสดๆหรือดื่มน้ำสับปะรดกันบ้างดีกว่า


ส่วนผสม
น้ำสับปะรด 240 กรัม (1/4 ผลใหญ่)
น้ำเชื่อม 15 กรัม
เกลือป่น นิดหน่อย


วิธีทำ
นำสับปะรดล้างให้สะอาด ปอกแล้วล้างอีกครั้ง ใช้เครื่องสกัดแยกกากคั้นเอาแต่น้ำ
แล้วนำมาเติมน้ำเชื่อม เกลือ ตามขนาด ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ของน้ำสับปะรด

คุณค่าทางอาหาร มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสมาก ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน สับปะรดมีวิตามินC สูงช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางสมุนไพร ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลดอาการอักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ และช่วยขับเสมหะ

28.9.53

น้ำกีวี

น้ำกีวี
กีวี
ผลกีวี ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศจีน แต่ไม่นิยมปลูกให้แพร่หลาย
แต่กลับไปปลูกมากที่ประเทศนิวซีแลนด์และอเมริกาไม่มีปรากฏว่า
กีวีชอบอากาศหนาวเย็นและความชื้นสูง ผลกีวีสามารถเก็บไว้ได้
นานครึ่งปี ถึงหนึ่งปีโดยไม่เสียเพราะมีเปลือกหนาสีน้ำตาล มีขนสีน้ำตาลอยู่
รอบๆเปลือกเวลาที่ปอกเปลือกแล้วผ่าออกมาจะมีสีเขียวใส มีเมล็ดพดำเล็ก ๆ
อยุ่ตรงกลาง มีรสหวานอมเปรี้ยว
ส่วนผสม
ผลกีวีเอาเฉพาะเนื้อ 6 ผล
น้ำเชื่อม 1 ถึง 1/2 ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 3 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
1.นำผลกีวีมาปอกเปลือก หั่นเนื้อกีวีให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ นำใส่โถปั่น
2.ใส่น้ำเชื่อมและน้ำต้มสุก เกลือ จากนั้นปั่นเข้ากันจนละเอียด จะได้น้ำกีวี สีเขียวใสน่ารับประทาน
3.นำไปแช่เย็นหรือดื่มพร้อมกับน้ำแข็ง ดื่มแล้วสดชึ่นหวาน อร่อย หอมชื่นใจ

15.9.53

น้ำมะละกอ (papaya juice)

น้ำมะละกอ


มะละกอเป็นไม้ยืนต้นไม้เนื้ออ่อน ลำต้นตั้งตรงไม่แตกกิ่งก้านใบเดี่ยว
ขนานใหญ่ ขอบใบหยัก เว้าลึก แยกเป็นแฉก 7-9 แฉก ก้านใบยาว กลางดอก
เป็นสีขาว หรือเหลืองอ่อน มี 5 กลีบ มีกลิ่นหอม ผลมีรูป ร่างกลมยาวรี หรือทรงกระบอก
ผลดิบมีสีเขียว มียางมาก น้ำยางสีขาว ผลสุกมีสีเหลืองอมส้ม มีหลายพันธุ์บางพันธุ์เนึ้อหนา มีเมล็ดน้อยบางพันธุ์เมล็ดมาก เมล็ดมีผิวขรุขระมีเยื่อหุ้มใส ๆ โดยรอบเมล็ด
นอกจากจะนำผลสดมาประกอบอาหารคาวแล้ว ยังสามารถนำผลสุกมาทำเป้นนำผลไม้ได้ด้วย เช่น น้ำมะละกอ (papaya juice)
มะละกอสุก

ประโยชน์ มะละกอ
ผลดิบมียาง แคลเซียม วิตามินc สูง ผลสุก มีวิตามิน A สูง วิตามิน cมีสารเพกติน เหล็ก แคลเซียม ยาง ช่วยกัดแผลรักษาตาปลา ใช้ป้องกันยุง ฆ่าพยาธิ ผลดิบ ใช้ทำส้มตำ แกงส้ม แกงคั่ว ต้มจิ้มน้ำพริก ต้มจับฉ่าย


*ผลสุก รับประทานเป็นผลไม้เป็นยาระบายอ่อน ๆ บำรุงธาตุ ไข้กลนและ ทำซอส หรือเป็นส่วนผสมของซอส

ส่วนผสมน้ำมะละกอ
เนื้อมะละกอสุก 2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำเชื่อม 1 ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 3 ถ้วยตวง


วิธีทำ
ปอกเปลือกมะละกอเอาเมล็ดออก ล้างน้ำให้สะอากและหมดยาง เอาแต่เนื้อ
ใส่โถปั่นจนละเอียด แล้วเติมน้ำเชื่อม เกลือป่น น้ำต้มสุก ปั่นต่อไปให้ละเอียด ชิมดูรสชาติให้ถูกใจ สามารถเทใส่แก้วดื่มได้ทันที หรือจะนำเข้าแช่ตู้เย็น หรือจะดื่มโดยใส่น้ำแข็งได้รสชาติดี

8.9.53

น้ำมะยงชิด

น้ำมะยงชิด
มะยงชิด เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับมะปราง ผลดิบมีรสชาติเปรี้ยว ผลสุกมีรสหวานอมเปรี้ยว ขนาดของผลจะมีขนาดใหญ่กว่ามะปรางหวาน เวลารับประทานจะไม่ทำให้เกิดอาการคันคอ ผลสุกจะมีสีออกเหลืองอมส้ม สามารถนำมาทำเป็นน้ำมะยงชิดได้เพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย มีวิตามินซีสูง มีกากไยอาหารมาก ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี

ส่วนผสม
เนื้อมะยงชิดยีละเอียต 400 กรัม
น้ำเปล่า 1 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1 ช้อนชา


วิธีทำ
1. ผสมเนื้อมะยงชิดกับน้ำ แล้วนำไปต้มให้เดือด
2. ปรุงรสด้วย น้ำผึ้ง เกลือ แล้วคนให้ละลาย พอเดือดยกลง กรองผ่านผ้าขาวบางหรือกระชอน แล้วพักให้เย็น
3. ก่อนดื่มใส่น้ำแข็ง หรือกรอกใส่ขวด แช่เย็นดื่มชื่นใจ

คุณค่าทางโภชนาการ
ให้พลังงาน 2ึ72.6 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 66.3 กรัม
วิตามินเอ 115.05 ไมโครกรัม
วิตามินชี 100 มิลลิกรัม
แคลเซียม 12.15 ไมโครกรัม

3.9.53

สตรอว์เบอร์รี่ สมูทตี้

สตรอว์เบอร์รี่ สมูทตี้
ส่วนผสม
สตรอว์เบอร์รี่ สมูทตี้ แก้วนี้ไม่ผสมน้ำตาลได้ประโยน์จากคุณค่าของผลไม้ล้วนๆ ความหวานได้จากเนื้อมะม่วง เปรี้ยวจากสตอว์เบอร์รี่ และน้ำส้มที่เข้ามาเติมความสดชื่น อุดมคุณค่าด้วยวิตามิน C

ส่วนผสม
* สตรอว์เบอร์รี่ 125 กรัม
* มะม่วงน้ำดอกไม้สุก 400 กรัม
* น้ำส้ม 300 มิลลิลิตร
ส้มซันคิสต์ฝานเป็นแว่นบาง ๆ และใบสะระเเหน่สำหรับตกแตงแก้วเพื่อแลดูสวยงาม

วิธีทำ
1.หั่นสตรอว์เบอร์รี่และมะม่วงสุกเป็นชิ้นแล้ว ใส่ตู้เย็นแช่ไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมง
2.ใส่ส่านผสมทุกอย่าง ในเครื่องปั่น จากนั้นปั่นให้เนื้อเนียน
3.เทใส่แก้ว แต่งด้วยส้มซันคิสต์ฝานบาง ๆ และใบสะระแหน่

คุณค่าทางโภชนาการ

*พลังงาน 413.75 กิโลแคลอรี
* คาร์โบไฮเดรต 102.8 กรัม
* บิดามินเอ 24,532 ไมโครกรัม
* วิตามินซี 294.25 มิลลิกรัม
* แคลเซียม 164.25 ไมโครกรัม

21.8.53

น้ำมะม่วง

น้ำมะม่วง

น้ำมะม่วง
มะม่วง เป็นผลไม้ที่ทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว
ใช้ทำของคาวได้หลายอย่าง ที่พบเห็นบ่อยคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ
และมะม่วงยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้ด้วย นั่นคือทำเป็นน้ำมะม่วง ใช้ได้ทั้งดิบและสุก รสชาติจะต่างกันออกไปแล้วแต่ชอบ
มะม่วงมีวิตามิน C ,A แคลเซียม ,ฟอสฟอรัส และกรดอินทรีย์เมล็ดของผลแก่ แก้ท้องร่วง ใบอ่อน ใช้เป็นผักจิ้มหรือยำ ผลดิบ
ทานสด ใช้ยำ มะม่วงน้ำปลาหวาน ใช้ตำน้ำพริกมะม่วง ใช้แช่อิ่ม ใช้ดอง ผลสุก รับประทานเป็นของหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วง

ส่วนผสม
เนื้อมะม่วงดิบหรือสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม 1 ถ้วยตวง (ถ้าใช้มะม่วงสุก 1/3 ถ้วยตวง)
น้ำต้มสุก 3 ถ้วยตวง
เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
- ถ้าใช้มะม่วงดิบ ให้ล้างทำความสะอาดแล้วปอกเปลือก เอาแต่เนื้อมะม่วงใส่
เครื่องปั่น เติมน้ำเชื่อม น้ำต้มสุก เกลือป่น ปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบใจ นำไปแช่เย็นหรือจะดื่มกับเติมน้ำแข็ง น้ำมะม่วงดิบ
จะมีสีขาวขุ่น รสเ์้ปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย
- ถ้าใช้มะม่วงสุกก็ลด น้ำเชื่อมลงใส่น้ำเชื่อมลง ใส่เพียง 1/3 ถ้วยตวงเท่านั้น ชิมรสชาติให้ออกเปรี้ยวอมหวาน

ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของมะม่วง

-มีไฟเบอร์สูง ช่วยในการย่อยอาหาร และระบบเผาผลาญพลังงาน
-มะม่วงมีวิตามิน C ,A แคลเซียม ,ฟอสฟอรัส ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
-โปแตสเซียม และทองแดง ช่วยให้ร่างกาย ทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
-สารฟลาโวนอยด์ กำจัดไขมันในเลือดได้
-สารไตรเทอปีน ช่วยต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งผิวหนัง
-กรดอะมิโนทริปโตเแฟน ช่วยให้ร่างการหลั่งฮอร์โมนโนเซโรโทนิน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย

14.8.53

สมูทตี้เอพริคอตกับเต้าหู้

สมูทตี้เอพริคอตกับเต้าหู้
สมูทตี้เอพริคอตกับเต้าหู้

ส่วนผสม
• เอพริคอตแห้ง 100 กรัม
• เกรปฟรุต 1 ผล
• เต้าหู้อ่อน 100 กรัม
• อัลมอนด์ 5 กรัม
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย


วิธีทำ
• หั่นเนื้อเอพริคอตเป็นชิ้นหยาบๆ เกรปฟรุตปอกเปลือกแกะเฉพาะเนื้อเป็นชิ้นๆ เต้าหู้อ่อนหั่นเป็นชิ้นๆ นำทั้งหมดเข้าตู้เย็น แช่ไว้ให้เย็นจัดประมาณ 1 ชั่วโมง
• ใส่ส่วนผสมที่แช่เย็นแล้วลงในเครื่องปั่น ตามด้วยอัลมอนด์ น้ำเปล่า จนเนื้อเนื้อเนียน เทใส่แก้วดื่มขณะเย็น

***คุณค่าทางโภชนการ
• พลังงาน 167.7 กิโลแคลอรี
• พลังงาน 1.26 กรัม
• วิตามินเอ 115.45 ไมโครกรัม
• วิตามินซี 36 มิลลิกรัม
• ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม
• แคลเซียม 164.25 ไมโครกรัม

10.8.53

น้ำแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล
น้ำแอปเปิ้ล
ส่วนผสม
แอปเปิ้ล 4 ผล(เขียวหรือแดงก็ได้)
น้ำเชื่อม 1ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อน่ชา

วิธีทำ
1.ปอกเปลือก เอาแกนกลางออก เมล็ดออก นำไปปั่นให้เข้ากันจนละเอียดเนียน ใส่น้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือป่น
2.นำไปแช่เย็น หรือรับประทานกับน้ำแข็ง หรือดื่มได้เลย หรือใส์โถปั่นพร้อมน้ำแข็ง ปั้นให้ลเอียดรินเสิร์ฟได้ทันที

น้ำแอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล เป็นผลไม้เมืองหนาว ไม้ยืนต้นทรงพุ่มกลม สูงประมาณ 5 เมตร ในประเทศไทยปลูกได้ทางภาคเหนือ แอปเปิลเป็นผลไม้มีเปลือกผล สีแดงและสีเขียว มีขนาดใหญ่ และยาวรี ขอบใบมีรอยคล้ายใบเลื่อยใบอ่อนจะมีขนอ่อนนุ่ม ๆ สั้น ๆ ทงั้ 2 ด้าน ดอกเป็นช่อสีขาวหรือชมพูเข้ม แอปเปิ้ลมี

ประโยชน์ต่อร่างกาย
แอปเปิ้ล มีวิตามิน c สูง มีเกลือแร่ มีเกลึอโปตัสเซียม ลดกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้รับบการขับถ่ายดีขึ้น ลดกรดในกระเพาะอาหาร
ละลายเสมหะ บำรุงกำลัง ขับร้อน แก้ท้องร่วง และ บารุงไต บารุงปอด
แอปเปิ้ล รับประทานสด เป็นผลไม้ใช้ทำพาย หรือทำผลไม้อบแห้ง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินC เป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินC จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม
มีวิตามินC ประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ
น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ
เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินA B1B2 B6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก
ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน
สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินC และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ
ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง การดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก
และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก
เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์
ในทางโภชนาการแล้ว แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก
โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร
ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว
ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย


ข้อมูลอ้างอิงจากบล็อก oknation

30.7.53

น้ำมะเฟือง



น้ำมะเฟือง
มะเฟืองคือผลไม้ที่เราคุ้นเคยดี มีรสเปรี้ยว สามารถนำมาทำเป็นเครื่องเคียงในอาหารได้หลายชนิด หรือจะกินสดๆก็ได้ มะเฟืองอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน วิตามินใน มะเฟือง จะช่วยให้เนื้อเยื่อแข็งแรง จับสารก่อมะเร็ง ช่วยทำให้เหงือกแข็งแรง ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและปลอดโปร่งในอารมณ์ ส่วนวิตามินบี 1 จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา มะเฟืองนี้เราถือว่าเป็นพืชสมุนไพรอย่างหนึ่งในการบำบัดรักษาโรค สามารถนำมาต้มน้ำดื่มแก้ไข้หวัดใหญ่ ส่วนรากต้มกินแก้ท้องร่วง และผลสามารถนำมาสระผมบำรุงเส้นผมให้เงางาม และใช้ขจัดรังแคได้


ส่วนผสม
มะเฟืองหั่นชิ้นเล็กๆ 400 กรัม
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ¼ ช้อนชา
น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง

วิธีทำ
1.นำมะเฟืองไปต้มในน้ำให้เปื่อย ยกลงรอให้เย็น ยีด้วยผ้าขาวบาง หรือกระชอนเอาแต่น้ำ
2. เทใส่ภาชนะ ผสมน้ำผึ้งเเละเกลือลงโป คนๆให้ละลาย
3.นำขึ้นตั้งไฟ นำไปต้มให้เดือดอีกครั้งยกลง พักให้เย็น
4. ก่อนดื่มนำไปใส่น้ำแข็ง

***คุณค่าทางโภชนาการ
-ให้พลังงาน 201.1 กิโลแคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรด 48.9 กรัม
-วิตามินเอ 1,298.1 ไมโครกรัม
- วิตามินซี 152 มิลลิกรัม
-แคลเซี่ยม 32.3 ไมโครกรัม

26.7.53

ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากผักและผลไม้




ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากผักและผลไม้

วิตามิน C
วิตามิน C ที่ได้จากผักและผลไม้ มีความจำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกายในการผลิตและบำรุงรักษาสารคอลลาเจนให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์ เพราะสารคอลลาเจนทำหน้าที่หลักในการยึดเซลล์ผิวหนัง เหงีอก และเส้นเอ็นไว้ด้วยกัน และยังช่วยเซลล์เม็ดเลือดขาวต่อสู้กับเชื้อโรค จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของการสมานแผลให้หายเร็วยิ่งขึ้นนอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และช่วยชะลอความแก่ ประโยชน์ของ วิตามิน C ยังมีอีกมากมาย เช่น ช่วยในการลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคต้อกระจก และช่วย
บรรเทาอาการหวัดให้หายเร็วขึ้น แหล่งวิตามิน C จากผักและผลไม้ ที่สำคัญ คือ ฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ พริกหวาน บรอกโคลี่ ส้ม กีวีแบล็กเคอร์แรนต์ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ฯลฯ


วิตามิน A
วิตามิน A มีประโยชน์ที่สำคัญต่อร่างกายในการผลิตโรดอปซิน เป็นสารสีที่ช่วยในการมองเห็น
ในความมีด จึงช่วยป้องกันการตาบอดในเวลากลางคือได้เป็นอย่างดี ช่วยให้ผิวหนังเรียบ
นุ่มเนียน สุขภาพผิวดี และทำให้เนื้อ เยื่อร่างกายเจริญอย่างเหมาะสม และบำรุงกระดูก
ให้แข็งแรง ช่วยกำจัดเชี้อโรคที่จะทำลายเซลล์และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และยัง
ช่วยต่อสู้กับโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต แหล่งวิตามินเอที่สำคัญคีอ
ผักและผลไม้ที่มีสีเข้ม เช่น มะเขีอเทศ แคนตาลูป เมลอน และมะละกอ

เบต้าแคโรทีน
เบต้าแคโรทีนมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพและเพี่มระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้แข็งแรง นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เสมือนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงด่อโรคมะเร็ง ทั้งยังพบว่าเบต้าแคโรทีนให้ผลกระตุ้นเซลล์ภูมิต้านทานในร่างกายที่ชิ่อ ที-เฮลเปอร์ ให้ทำงานต้านทานสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และยังช่วยดูแลรักษาผิวพรรณไม่ให้ผิวเหี่ยวย่นหรือไม่ผ่องใส ช่วยบำรุงสุขภาพของดวงตาเบต้าแคโรทีนเมื่อโดนย่อยสลายที่ตับแล้วจะได้วิตามินเอ ซึ่งร่างกายนำไปใช้สร้างสารโรด็อปซินในดวงตาส่วนเรตินา ทำให้ตามีความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนได้ และยังลดความเสื่อมของเซลล์ลูกตา ลดความเสี่ยงต่อการเป็นต้อกระจกด้วย แหล่งเบต้าแคโรทีนที่สำคัญคือ ผักผลไม้ที่มีสีเหลีองและสีส้ม เช่น แครอท ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แตงโมแคนตาลูป มะละกอสุก และผักที่มีสีเขียว เช่น บรอกโคลี มะระ ผักบุ้ง ต้นหอม ผักคะน้า ผักตำลึง

แคลเซียม
แคลเซียม คือสารอาหารชั้นเลิศในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ความสำคัญของแคลเซียม
นอกจากเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูกและฟันแล้ว แคลเซียม
ยังมีบทบาทเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบด่าง ๆในร่างกายหลายต่อ
หลายระบบ เช่น ระบบประสาทที่ต้องอาศัยแคลเซียมเป็นแรธาตุจำเป็นในการนำกระแส
ประสาทของเซลล์ในระบบประสาท กระบวนวารหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจ
ที่ต้องทำงานตลอดเวลานอกจากนี้แคลเซียมยังเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการแข็งตัวของเลือด และยังเป็นตัวนำสารอาหารที่สำคัญผ่านเข้าออกเซลล์ แคลเซียมเป็นองค์ประกอบหลักของกระดูิ รวมทั้งยังทำหน้าที่เป็นสารป้องกันการเกิดภาวะกระดูกพรุนด้วย แหล่งแคลเชียมที่สำคัญ ได้แก่ นม เต้าหู้ ผักใบเขียว ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ ที่รับประทานได้ทั้งกระดูก เช่น ปลาซิวแก้ว กุ้งฝอย กะปิ ปลาตัวเล็กตัวน้อย

21.7.53

ประโยชน์ของผักและผลไม้ต่อสุขภาพของเรา




ประโยชน์ของผักและผลไม้ต่อสุขภาพของเรา
ผักและผลไม้นั้นมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง ทั้งวิตามิน A ,C ฯลฯ เบต้าแคโรทีน แคลเซี่ยม และแร่ธาตุอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ผักและผลไม้ยังมีกากไยอาหารมาก
ทำให้ระบบขับถ่ายของเราทำได้อย่างเป็นปกติ ผักและผลไม้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น ต้านการเกิดมะเร็ง หลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วน ผักและผลไม้
มีประโยชน์สำหรับคนนที่ต้องการลดน้ำหนักได้ดี ทำให้ผิวพรรณและสุขภาพผิวดี เช่น ผักต่างๆเหล่านี้

ฟักทอง
อุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีน ช่วยป้องกันมะเร็ง เนื้อฟักทองยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และป้องกันโรคเบาหวาน ความคัน โลหิต บำรุงตับ ไต นัยน์ตา ช่วยสร้างเ้ซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานอย่างมีประสิทฐิภาพสูงสุด

เซเลอรี่
เซเลอรี่ มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดระบบทางเดินปัสสาวะและขับปัสสาวะได้ดี เป็นผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ แต่มีโพแทสเชียมสูง จึงช่วยลดความดันโลหิต เป็นผักที่ช่วยในการล้างพิษออกจากร่างกายได้ดี อีกด้วย

บลอกโคลี่
บลอกโคลี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินC สูง ช่วยป้องกันมะเร็งปอด มะเร็งทรวงอก และมะเร็งลำไส้ นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ช่วยควบคุมระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือด

ขิง
มีประโยชน์ช่วยรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด เพราะขิงจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วย ขับลมได้ดีเช่นเดียวกับตะไคร้ ส่วนคนที่มีอาการไอหรือมีเสมหะมาก ให้นำขิงมาฝนกับน้ำมะนาวผสมเกลือนิดหน่อย ใช้กวาดคอ จะช่วยบรรเทาอาการ ได้

บีตรู้ต
บีตรู้ตเป็นผักที่มีโฟเลตสูง ทำให้หลอดเลือดสะอาด ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น และช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี ช่วยในการควบคมระบบย่อยอาหารให้ทำงานปกติ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยให้ไตและตับทางานดีขึ้นทั้งยังช่วยกระตุ้นและเพิ่มความแข็งแรงให้ลำไส้ใหญ่

ผักกาดหอม ผักกาดขาว
เป็นผักที่อุดมไปด้วยวิตามินC เบต้าแคโรทีน ฟลาโวนอยด์ และกรดโฟลิก ช่วยทำความสะอาดทางเดินอาหาร ต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการทำงานของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ผักกาดมี 3 ชนิด คือ

ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่ วิตามินครบถ้วนบริบูรณ์ และมีเส้นใยอาหารจำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องอาการท้องผูิก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอม สามารถป้องกันโรคความดันใลหิดสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามิน C ที่มีอยู่ในผักจะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค

ผักใบเขียวต่างๆ เช่น คะน้า กวางตุ้ง
ล้วนเป็นผักที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ มีลูทินและเบต้าแคโรที ในปริมาณสูง จึงช่วยต้านมะเร็ง ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง และมีกากไยมาก ช่วยระบบขับถ่าย


ผักสมุนไพร เครื่องเทศ
เช่น ผักชี สะระแหน่ โหระพา มีฤทธิ์กระตุ้นความอยากอาหาร ช่วยในการหลั่งน้ำย่อย ใบสะระแหน่มีสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินC ช่วยรักษาอาการหวัด

ผักโขม หรือผักขม
มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากอายุที่มากขึ้น เพราะมีสารลูเทอีนซึ่งเป็นสารทื่ช่วยสร้างระบบป้องกันสารสีในดวงตา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคความจำเสี่อมได้อีกด้วย

แตงกวา
เป็นผักที่มีน้ำมาก จึงมีฤทธิในการขับปัสสาวะ กระตุ้นการขจัดสารพิษ ผ่านทางเดิมปัสสาวะ ช่วยเพิ่มความสดชี่น ที่สำคัญคือ มีสารประกอบจำเป็นที่ช่วยบำรงผิวและเส้นผมให้มีสุขกาพดี

มะระ
รสขมของมะระช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จึงมีคุณสมบัติช่วยทำให้เจริญอาหาร และมีแร่ธาตุคัญ ๆ อย่าง แคลเชียม ฟอสฟอรัส วิตามิน C ไนอะชิน เบต้าแคโรทีน จึงทำให้สุขภาพผิวพรรณดีนอกจากนี้ยังเป็นยาระบายอ่อนๆ และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน มะระ ยังช่วยบำรุงน้ำดี แก้ตับ ม้ามอักเสบ ขับพยาธิแก้อักเสบจากพิษต่าง ๆได้ด้วย

7.7.53

สมู้ทตี้มะม่วงกับโยเกิร์ต


สมู้ทตี้มะม่วงกับโยเกิร์ต

มะม่วงสุกเป็นผลไม้ที่มีมากมายในบ้านเรา หน้ามะม่วงสุกบางทีกินแทบไม่ทัน ลองหันมาทำเป็นเมนูสมู้ทตี้มะม่วงกับโยเกิร์ต ดูบ้างก็ได้ เพิ่มความอร่อยที่แปลกใหม่ ดื่มเย็นๆชื่นใจดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ส่วนผสม
มะมวงน้ำดอกไม้สุก 400 กรัม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 250 กรัม
น้ำเปล่า 100 มิลลิลิตร
ใบสะระแหน่ 3-4 ใบ
ใบสะระแหน่และมะม่วงฝานสำหรับตกแด่ง

วิธีทำ
1. หั่นมะม่วงสุกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แช่ตู้เย็นนานประมาณ 3o นาที
2.นำมะม่วงที่แช่จนเย็นจัดแล้วมาใส่ลงในเครื่องปั่น ใส่โยเกิร์ต น้ำเปล่าและใบสะระแหน่ จากนั้นปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเนียนละเอียดเป็นเนี้อเดียวกัน
3. เทใส่แก้ว แต่งหน้าด้วยใบสะระแหน่และมะม่วงฝาน ให้แลดูน่ากิน

คุณค่าทางโภชนาการ
ให้พลังงาน 515.5 กิโลแคลอรี่
คาร์โบไฮเตรต 98.35 กรัม
มีเบตาแคโรทีน 32.5 ไมโครกรัม
วิตามินA 12.742 ไมโครกรัม
วิตามินC 144 มิลลิกรัม

4.7.53

สมูทตี้น้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำขิง โยเกิร์ต


สมูทตี้น้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำขิง โยเกิร์ต
สมูทตี้น้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำขิง โยเกิร์ต แก้วนี้จะช่วยให้สดชื่น เปรี้ยวหวาน ให้ประโยชน์กับระบบลำไส้ จากคุณค่าของโยเกิร์ต

ส่วนผสม
น้ำส้มคั้นสด 120 กรัม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 25O กรัม
น้ำสับปะรด 120 กรัม
น้ำขิงคั้นสด 1ช้อนโต๊ะ
ขิงสดขูด 1 ช้อนชา
น้ำแข็งก้อน

วิธีการทำ
ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในโถปั่น ปั่นจนเนื้อเนียนละเอียดเทใส่แก้ว เติมน้ำแข็งก้อนลงไป ดื่มได้ทันที

คุณค่าทางโภชนาการ
-วิตามินC 26.6 มิลลิกรัม
-วิตามินA 5,125.45 ไมโครกรัม
-พลังงาน 430.45 กิโลแคลอรี่
-คาร์ในไฮเดรต 73.965 กรัม
-เบต้าแคโรทีน 345 ไมโครกรัม
-เเคลเซียม 49.95 ไมโครกรัม

29.6.53

สมูทตี้องุ่นครีมชีส


สมูทตี้องุ่นครีมชีส
สูตรสมูทตี้องุ่นครีมชีสนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรทั้งวิธีการทำและส่วนผสม สามารถทำไว้ดื่มเองได้ง่ายๆที่บ้าน

ส่วนผสม
องุ่นแดง 150 กรัม
ครีมชีส 50 กรัม
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
น้ำแข็งก้อน

วิธีทำ
1. ล้างทำความสะอาด องุ่นให้สะอาดแล้วใส่ในเครื่องปั่น ตามด้วยครีมชีส
และน้ำมะนาว จากนั้นปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเนียนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน
2. เทใส่แก้ว เติมน้ำแข็งสัก 4-5 ก้อน ดื่มขณะเย็น แก้วนี้จะช่วยให้อิ่มสบายท้อง

***คุณค่าทางโภชนาการ
- พลังงาน 818.05 กิโลแคลอรี่
- คาร์โบไฮเดรต 14.7 รัม
- บิตามินเอ 195 ไมโครกรัม
- วิตามินซี ๆ 1.25 มิลลิกรัม

21.6.53

สมูทตี้ลูกเดือยกับแคนตาลูป




สมูทตี้ลูกเดือยกับแคนตาลูป

ส่วนผสม
แคนตาลูป100 กรม
ลูกเดีอยต้มสุก 50 กรัม
นมถั่วเหลืองแช่เย็น 1 กล่อง
ผงโกใก้สำหรับแต่งหน้า

วิธีการทำ
1. หั่นแคนตาลูปเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็นในช่องแข็งให้เย็นจัด
2. นำมาใส่เครื่องปั่น ปั่นพร้อมลูกเดือยต้ม นมถั่วเหลือง ปั่นจนละเอียดให้ส่วนผสม ทั้งหมดเข้ากันและเนื้อเนียนละเอียด
3.เทใส่แก้ว โรยหน้าด้วยผงโอโก้เล็กน้อย


คุณค่าทางโภชนาการ
แคลเซียม 82 ไมโครกรัม
คาร์โบไฮเดรด 52 กรัม
วิดามินA 3,525 ไมโครกรัม
วิตามินc 35 มิลลิกรัม
พลังงาน 308.5 กิโลแคลอรี

7.6.53

สีสันของผักผลไม้บอกอะไร เราได้บ้าง


สีสันของผักผลไม้บอกอะไร เราได้บ้าง

สีสันของผักและผลไม้นอกจากจะสร้างความสะดุดตาให้ผักและผลไม้ดูสดน่ากิน แล้วยังสามารถบ่งบอกถึงคุณประใยชน์ได้อีก
นานัปการทีเดียว ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการบอกว่า การกินผักผลไม้ที่มีสีสันหลากหลายนั้นแสดงถึงอาหารที่กิน
จะอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ ผักผลไม้ทั่วไปมีไขมันค่อนข้างต่ำ มีคาร์โบไฮเดรตน้อยและจะช่วยควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ผักผลไม้
ยังมีปริมาณสาร anti-oxidant ช่วยป้องกันมิให้ LDL คอเลสเตอรอลไปเกาะที่เส้นเลือดจนเส้นเลือดอุดตัน หากกินผักผลไม้หลากสี
จะช่วยป้องกันโรคหัวใจ โรคอ้วน และโรคมะเร็งบางชนิด สีของพืชผักผลไม้มีความหมายในเชิง
คุณค่าทางโภชนาการชึ่งมีผลต่อสุขภาพที่ผู้บริโภคควรให้ความสนใจและบริโภคประจำ ดังนี้

สีชมพูจนถึงสีแดงเข้ม
ผักผลไม้ที่มีสีแดง นี้จะมีสารแอนติออกชิแดนท์ไลโคปีน สารชนิดนี้จะทำลายอนุมูลอิสระที่จะทำลายเซลล์
และช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งป้องกันโรคปอดและโรคหัวใจ ช่วยต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอริ้วรอยอ่อนวัย
และต้านมะเร็ง

สีเขียว
ผักผลไม้สีเขียว จะอุดมไปด้วยสารพฤกษเคมี สารสีเขียวเข้มจะมีแคโรทีนอยด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาและเรตินา ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของมะเร็งบางชนิด
นอกจากแคโรทีนอยด์แล้วยังมีสารโฟเลตที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อความผิดปกติของทารกที่อยู่ในครรภ์ และช่วยยับยั้งปฎิกิริยาของสารก่อมะเร็ง

สีเหลือง
ผักผลไม้ที่มีสีเหลีอง จะมีวิตามิน C แมงกานีส และเอนไซม์ ช่วยในการย่อยนอกจากนี้ยังเป็นแหล่งของ สารลูเทอีน,ซีแซนทิน
ช่วยลดความเสี่ยงต่การเกิด ต้อกระจกและรอยดำบนผิวหนังที่เกี่ยวข้องกับอายุที่มากขึ้น

สีส้ม
ผักผลไม้สีส้ม จะมีสารเบต้าแคโรทีนช่วยในระบบภูมิคุ้มกันและป้องกันเรตินา ช่วยป้องกันเซลล์ผิวหนังจากการถูกิ ทำลาย และซ่อมแซมดีเอ็นเอที่ถูกทำลาย นอกจากนี้ยัง
อุดมด้วยโฟเลตและวิตามินบี ซึ่งป้องกันความผิดปกติของทารกที่อยู่ในครรภ์ ผลไม้บางชนิดที่เป็นสีส้มอ่อนจะมีคริปโดแทนซินซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ


สีน้ำเงินและสีม่วง
ผักผลไม้ที่มีสีม่วง นี้จะมีสารแอนโทไซยานิน ช่วยชะลอการแก่ของเซลล์และป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจนอกจากนี้ช่วยต่อต้านสาร
ก่อมะเร็ง ผักผลไม้สีน้ำเงินและสีม่วงยังอุดมด้วยใยอาหารและโพเเทสเซียม

สีขาว
ผักและผลไม้ที่มีสีขาว จะอุดมไปด้วยสารอัลลิซิน ซึ่งช่วยด้านการเกิดเนื้อร้าย อันจะก่อให้เกิดมะเร็งต่อไป

3.6.53

การทำน้ำผลไม้ ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด


การทำน้ำผลไม้ ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด
วิธีทำน้ำผลไม้นั้น ต้องเข้าใจหลักการ เพราะผลไม้แต่ละชนิด ไม่เหมือนกัน บางชนิด คั้นน้ำได้ บางชนิดเปลือกแข็ง เละง่าย เราต้องความระมัดระวัง ก่อนทำน้ำผลไม้ เราต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้
1. การเลือกผลไม้ ต้องเลือกที่ สดใหม่ที่สุด
2. ล้างทำความสะอาดผักและผลไม้ให้สะอาด ล้างผ่านด่างทับทิม หรือ น้ำเกลือ ก็ได้เพื่อชะล้างสารเคมี หรือสิ่งสกปรก
3. ถ้าผักและผลไม้ ที่มีก้าน หรือขั้ว หรือเมล็ด หรือตา ควรตัดหั่นและแยกออกให้หมด
4. การใส่ผักผลไม้ลงในเครื่องปั่นหรือเครื่องคั้นน้ำ ควรทยอยใส่ทีละน้อยและระมัดระวัง
5. เตรียมหั่นผักและผลไม้ให้มีขนาดพอดีกับช่องใส่ของตัวเครื่อง อย่าหั่นเล็กหรือใหญ่เกินไป ถ้ามีผลไม้ที่มีเนื้อนุ่มและแน่นผสมกัน ควรใส่ผลไม้เนื้อนุ่มกับผลไม้เนื้อแน่นสลับกัน
เพื่อให้ผลไม้เนื้อแน่นดันผลไม้เนื้อนุ่มลงไปในเครื่องได้สะดวก
6. การคั้นน้ำผัก ให้ม้วนใบผักเป็นก้อนๆหรือแท่ง ก่อนใส่ลงไปในเครื่อง แล้วตามด้วยก้านผักหรือผลไม้ที่มีเนื้อแน่นกว่าลงไปทีหลัง
7. สำหรับเครี่องแยกกากไม่ควรคั้นผลไม้ทีสุกงอมเกินไป เพราะว่าจะทำให้เนื้อทีเละ ๆไปติดและอุดตันเครื่องคั้นน้ำนั้นได้ ผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เหมาะที่จะใส่เครี่องปั่น น้ำปั่นหรือทำเป็นสมูทตี้มากกว่า
8. วิธีล้างเครื่องแยกกากนั้น เมื่อใช้งานเสร็จควรล้างเครี่องให้สะอาดทันที และผึ่งให้แห้งเพราะถ้าล้างไม่สะอาด จะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค และควรเลือก
เครื่องแยกกากที่ถอดล้างทำความสะอาดง่าย ก่อนการทำความสะอาดควรแช่เครื่องแยกกาก ลงไปในน้ำอุ่นผสมน้ำยาล้างจานก่อนสักพัก จะทำให้ล้างทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่ต้องระวังในการทำน้ำผักผลไม้

1. ควรเลือกผักและผลไม้ ที่สดสะอาด เก็บค้างไว้นานเกินไป เพราะจะทำให้คุณภาพลดลง การเลือกผลไม้ต้องเลือกที่แก่กำลังพอดี ไม่สุกเละ หรือดิบเกินไป จะทำให้เสียรสชาติ

2.ต้องเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ในการทำน้ำผลไม้ไว้ก่อน โดยทำความสะอาด และเช็ดจนแห้งดีแล้ว ไม่อย่างงั้นน้ำผักผลไม้ จะเน่าเสียได้ง่าย

3. ผักและผลไม้บางชนิดควรเก็บรักษาในอณหภูมิที่พอเหมาะ แต่บางชนิดก็ไม่ควรเอ็บไว้นาน ควรทำแล้วดื่มทันที หรือเก็บแช่ไว้ในตู้เย็น

25.5.53

การทำน้ำตะไคร้





การทำน้ำตระไคร้(Lemon Grass)
ตระไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่อยู่คู่คนไทยมาตั้งแต่โบราณ รู้กันดีว่ามีสรรพคุณทางสมุนไพร แก้อาการได้หลายอย่าง ทั้งแก้ จุกเสียด แน่นท้อง ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ แก้วิงเวียน ท้องอืด ท้องเฟ้อ แถมยังมีวิตามิน เอ และเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ
ตระไคร้ นอกจากนำมาประกอบเป็นเครื่องแกงแกงในครัวแล้วยังสามารถนำมาทำเป็น น้ำสมุนไพรใช้ดื่มได้ รสชาติ ชุ่มคอชื่นใจ

น้ำตระไคร้


ส่วนผสม

ต้นตะไคั้หั่นฝอย 1 ถ้วย
น้ำเปล่า 3 ถ้วย
น้ำตาลทราย 3 ช้อนโต๊ะ
ใบตระไคร้หั่นนิดหน่อย

วิธีทำ
1.แบ่งน้ำมา 2 ถ้วย ต้มน้ำให้เดือด ใส่ตะไคร้ ลงไปต้มประมาณ 10-15 นาที พอมีกลิ่นหอมและเริ่มออกสีเขียวอ่อน ยกลง
กรองใส่หม้อ ใส่น้ำตาลลงไปแล้วคนจนละลาย พักไว้ก่อน จากนั้น นำใบตระไคร้ซอยปั่น
ใบตไคร้กับนำ 1 ถ้วยที่เหลือให้ละเอียด จากนั้นกรองด้วยผ้าขาวบางหลาย ๆชั้นเอาแต่นน้ำ ผสมลงในหม้อน้ำตะไครที่ต้มแล้ว คนให้เขากัน ตั้งไฟอีกครั้งพอ
เดือด ยกลง พร้อมดื่มได้ จะเสิร์ฟแบบร้อนหรือแบบเย็นก็ได้ตามใจ
หรืออาจจะนำไปบรรจุขวด แล้วนำไปแช่เย็น เวลาดื่มจะใส่น้ำแข็งเพิ่มความเย็นอีกก็ได้

อาจจะดัดแปลงด้วยการเพิ่มน้ำมะนาวลงในแก้วประมาณ 1 -2 ช้อนชาตอ 1 แก้ว ก้ได้ จะได้รสชาติแปลกใหม่ขึ้น ทั้งยังได้วิตามินซีจากมะนาวเพิ่มด้วย

พั้นซ์ตะไคร้

ส่วนผสม
ตะไครซอยครึ่งถ้วย
น้ำสับปะรด 1 ถ้วย
ขิงแก่หั่นชิ้น 1 แง่ง
น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำเปล่า 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. ต้มน้ำให้เดือด ใส่ตะไคร้ลงต้มนานประมาณ 5-10 นาที พอมีกลิ่นหอม ยกลง พักไว้ใหเย็น
2.คั้นขิงด้วยเครื่องแยกกากแยกเอาแต่น้ำ ตวงไว้ 3 ช้อนโต๊ะ พักไวั
3. ผสมส่วนผสมทุกอย่างให้เขากัน แช่
เย็น รินใส่แกว ดื่มได้ทันที่ ขิงสรรพคุร แก้ร้อนใน ดับกระหายน้ำ

20.5.53

วิธีการเลือกเครื่องทำน้ำผลไม้












น้ำผักผลไม้ น้ำปั่น สมูทตี้
การทำน้ำผักผลไม้ หรือการทำน้ำปั่น สมูทตี้ นั้นต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ ที่เกี่ยวข้องกันหลายอย่าง
เครื่องดื่มที่เราเรียกกันว่า สมูทตี้(Smoothie) แตกต่างจากน้ำปั่นอย่างไร เพราะทั้งสองอย่างนี้ใช้อุปกรณ์ในการทำที่ที่เหมือนๆกัน เพียงแต่ในการทำสมูทตี้ นั้น การเลือกใช้เครื่องปั่นต้องเลือกที่มารอบความเร็วสูงๆที่สามารถปั่นเครื่องดื่มได้เนียนละเอียด
แทบจะเป็นเนื้อครีมเลยทีเดียว และเนื่องจากจะต้องปั่นส่วนผสมทุกชนิดให้ละเอียดจนเนี้อเนียนนุ่ม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมที่ช่วยเพิ่มความนุ่มให้เครี่องดื่มด้วย เช่น นม โยเกึร์ต
ครีม ฯลฯ
เพราะเมื่อดื่ม ปลายลิ้นจะสัมผัสได้ถึงความละเอียด เนียนุ่ม อ่อนละมุนของเครื่องคี่มผ่านสู่ลำคอส่วนในการทำน้ำปั่นเราจะใช้ระดับความเร็วไม่ต้องสูงเพราะไม่จำเป็นต้องปั้นให้ส่วนผสมละเอียดมาก
อาจจะมีเกล็ดน้ำแข็งให้เคี้ยวกรุบกรับอยู่ในปากได้บ้าง แต่สำหรับ น้ำผักหรือ น้ำผลไม้เกิดจากภารคั้นให้เหลือแต่น้ำ จะใช้เครื่องคั้น
น้ำผลไม้แบบแยกกากเพื่อให้ได้เฉพาะน้ำผลไม้บริสุทธิ์ไม่มีกากผสมอยู่เลย แล้วแต่กรรมวิธีที่แต่ละคนถนัค






วิธีการเลือกเครื่องทำน้ำผลไม้
มาดูวิธีการเลือกเครื่องทำน้ำผลไม้กัน ในอดีตมนษย์ใช้วิธีการ บีบขยำ ขยี้ เพื่อคั้นผักและผลไม้ให้เป็นน้ำสำหรับดื่มกินแก้กระหาย อาจจะใช้วิธีการกรองเข้ามาช่วยบ้าง แต่เมื่อมนุษย์เริ่มมีวิวัฒนาและคิดค้นสร้างเครื่องมือสำหรับอำนวยความสะดวกให้ตนเอง จึงเกิดอุปกรณ์ในการทำน้ำผักผลไม้ขึ้นมามากมายหลายชนิด และทุกอุปกรณ์
ดูเหมือนจะมีส่วนสำคัญในการทำให้น้ำผักน้ำผลไม้ให้รสชาติอร่อยและยังคงคุณค่าจากผักผลไม้ที่เราต้องการไว้ครบถ้วนอีกด้วย
ดังนั้น การเลือกอุปกรณ์ในการทำน้ำผักผลไม้ไม่ใช่ดูที่ราคาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเลือกอุปกรณ์ ให้เหมาะสมกับการนำมาใช้งานจริงๆ

คุณลักษณะของอุปกรณ์ที่เราต้องต้องพิจารณา คุณสมบัติ ดังนี้

1.เครื่องปั่น (Blender)
ควรเลือกแบบที่ปรับความเร็วได้หลายระดับ เพราะจำเป็นต้องใช้ปั่นน้ำแข็งและผลไม้แช่แข็งด้วย เหมาะสมที่จะปั่นพวกผักและผลไม้ ที่ไม่สามารถนำเข้าเครื่องแยกกากได้ อย่างเช่น กีวี แคนตาลูป กล้วยหอม อะโวคาโด มะละกอสุก ฯลฯ

2.เครื่องคั้นน้ำผักผลไม้ (Juicer) มีอยู่ ด้วยกัน2 แบบ
แบบที่นิยมกันโดยทั่วไปคือเครี่องคั้นชนิดปั่น (CentrifugaI Juicer) โดยหลักการคือ ผักและผลไม้ถูกปั่นด้วยใบพัดจนละเอียด และถูกเหวี่ยงจะแยกน้ำออกมาจากกากไย น้ำผักผลไม้จะไหลลงมาในภาชนะรองรับ สามารถนำมาดื่มได้ทันทีเลย ส่วนกากยังคงค้างอยูปริมาณน้ำ ที่ได้จะน้อยกว่าเครี่องคั้นแบบที่สองที่เป็นเครื่องแยกกาก (Masticating Juicer) เครื่องจะทำงานโดยการบดผักผลไม้จนละเอียด ก่อน
โดยใช้แรงอัดเข้ากับตะแกรงรองกาก จึงทำให้กากผักผลไม้แห้งสนิท และได้น้ำในปริมาณมากที่สาคัญ เอ็มไซม์ในผักและผลไม่ได้ถูกทำลายไปด้วย หากจะทำเป็นพาณิชย์ควรคิดถึงการคุ้มทุนในระยะด้วย เพราะการใช้งานต้องหนักหน่วงการการทำกินเองที่บ้านอย่างแน่นอน


11.5.53

น้ำใบเตย



น้ำใบเตย


ส่วนผสม
1. ใบเตยหั่น 2 ถ้วย
2. น้ำตาลทราย 6 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำ 4 ถ้วยตวง
4. น้ำแข็ง ก้อน

ขั้นตอนการทำ
1.นำใบเตยมาล้างทำความสะอาด และหั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆให้ได้ 2 ถ้วย แบ่งมาครึ่งหนึ่ง นำมาปั่นกับน้ำสะอาด กรองเอาแต่น้ำแยกกากออก พักไว้ก่อน
2. ตั้งหม้อต้มน้ำใช้ไฟปานกลาง พอน้ำเดือด ใส่ใบเตยที่เหลือลงไปต้มกับน้ำ 5-10 นาที ใส่น้ำตาลลงไปคนให้ละลาย ปิดไฟ กรองเอาใบเตยออก เอาแต่น้ำ ทิ้งไว้ให้อุ่นๆแล้วเติมน้ำใบเตยที่ปั่นไว้ลงไป ใส่น้ำแข็ง ดื่มได้ทันที สดชื่นมากๆ





น้ำใบเตยผสมแคนตาลูป
ส่วนผสม
1. น้ำใบเตย 1 ถ้วย
2. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
3. เนี้อแคนตาลูปสีเขียว 1 ถ้วย
4. น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
5. เกลือป่น ¼ ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ
1.ใส่ส่วนผสมทั้งหมด ลงในโถปั่น ปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียด
รินใส่แก้ว ดื่มทันที

สรรพคุณ ของใบเตย

ใบเตยเป็นพืชตระกลูหญ้า ชอบขึ้นในที่ชื้น มีลักษณะเป็นกอใหญ่ ใบสดมีสีเขียว มีกลิ่นหอม เกิดจากน้ำมันหอมระเหย ในใบ รสชาติหวาน กลิ่นหอม นิยมให้แต่งรสอาหาร ขนมหวาน
เป็นสารคลอโรฟิลล์ช่วยลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น อีกทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม
และ ฟอสฟอรัส

4.5.53

น้ำกระหล่ำปลี



น้ำกระหล่ำปลี

กระหล่ำปลีเป็นผักใบ ที่มีรสชาติหวานกรอบอร่อย นอกจากปรุงเป้นอาหารแล้วยังสามารถนำมาทำเป้นน้ำผักเพื่อสุขภาพได้อีกด้วย
ส่วนผสมน้ำกระหล่ำปลี
-กะหล่ำปลีหั่นละเอียด 1 ถ้วย
-น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
-น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
-เกลือป่น1 /4 ช้อนชา
-น้ำต้มสุกแช่เย็น 1 /2 ถ้วย
ขั้นตอนการทำ
- ปั่นส่วนผสมทั้งหมด เข้ากันด้วย จน
ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง รินใส่แก้ว ดื่มทัน

น้ำกระหล่ำปลีผสม
สับปะรดหั่นชิ้น 1 ถ้วย
น้ำกะหล่ำปลี (ตามสูตร) 1 /2 ถ้วย
มะนาวหั่นแว่นและสับปะรดหั่นชิ้นสำหรับ ตกแต่ง
ขั้นตอนการทำ

1.ใส่เนื้อสับปะรดลงในเครื่องแยกกาก คั้นเอาแต่น้ำ
สับปะรต นำไปผสมกับน้ำกะหล่ำปลีในแก้ว คนให้เข้ากันดี รินใส่แก้ว ตก
แต่งด้วยมะนาวหั่นแว่นและสับปะรดหั่นชิ้
ดื่ม ทันที

สรรพคุณและคุณค่าอาหาร
กระหล่ำปลีเป็นผักที่มีวิตามินC สูงมากนิดหนึ่ง รวมทั้งยังมี วิตามินA ,B1 ,B2 ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารได้ มีสารกลูตามีน ช่วยเคลือบกระเพาะ ต้านมะเร็งลำไส้ มะเร็งกระเพาะอาหาร ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอล ระงับประสาททำให้นอนหลับสบาย

3.5.53

สมูทตี้มะเขือเทศกับแตงกวา





สมูทตี้มะเขือเทศกับแตงกวา

ส่วนผสม
- มะเขือเทศลูกใหญ่ 200 กรัม
- แตงกวา 1oo กรัม
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
- นมเปรี้ยวรสรรมชาติ 125 กรัม
- ผงขมิ้นเล็กน้อย
- นมถั่วเหลือง 250 มิลลิลิตร

ขั้นตอนการทำ
1. ล้างมะเขือเทศและแตงกวาให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
แช่ตู้เย็นไว้ประมาณ 30 นาที
2. ใส่มะเขือเทศและแตงกวาลงในเครี่องปั่น ตามด้วยนมเปรี้ยว
นมถั่วเหลือง น้ำผึ้ง และผงขมิ้นเล็กน้อย
ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเป็นเนื้อเนียนละเอียด พร้อมเสิร์ฟทันที



สมูทตี้ น้ำสับปะรด น้ำส้ม น้ำขิง และโยเกิร์ต

ส่วนผสม
- น้ำสับปะรดคั้นสด120 กรัม
- น้ำส้มคั้น 120 กรัม
- โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 250 กรัม
- น้ำขิงคั้นสด 1 ช้อนโต๊ะ
- ขิงสดขูด 1 ช้อนชา
- น้ำแข็งก้อน 5-6 ก้อน

ขั้นตอนการทำ
1. คั้นน้ำขิงสด นำขิงขูดกับที่ขูดให้เป็นฝอยๆจากนั้นใส่กระชอน ใช้มือบีบขิงฝอย้ไห้เหลีอแต่น้ำ
2.ใส่ส่วนผสมทั้งหมด (ยกเว้นน้ำแข็ง) ลงในเครื่องปั่นปั่นจนเนื้อเนียน
3. เทไส่แก้ว เติมน้ำแข็งก้อน ดื่มสดๆ ทันทื สดชื่นมากๆ