21.8.53

น้ำมะม่วง

น้ำมะม่วง

น้ำมะม่วง
มะม่วง เป็นผลไม้ที่ทานได้ทั้งผลดิบและผลสุก มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว
ใช้ทำของคาวได้หลายอย่าง ที่พบเห็นบ่อยคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ
และมะม่วงยังสามารถนำมาทำเป็นน้ำผลไม้ได้ด้วย นั่นคือทำเป็นน้ำมะม่วง ใช้ได้ทั้งดิบและสุก รสชาติจะต่างกันออกไปแล้วแต่ชอบ
มะม่วงมีวิตามิน C ,A แคลเซียม ,ฟอสฟอรัส และกรดอินทรีย์เมล็ดของผลแก่ แก้ท้องร่วง ใบอ่อน ใช้เป็นผักจิ้มหรือยำ ผลดิบ
ทานสด ใช้ยำ มะม่วงน้ำปลาหวาน ใช้ตำน้ำพริกมะม่วง ใช้แช่อิ่ม ใช้ดอง ผลสุก รับประทานเป็นของหวาน ข้าวเหนียวมะม่วง มะม่วง

ส่วนผสม
เนื้อมะม่วงดิบหรือสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม 1 ถ้วยตวง (ถ้าใช้มะม่วงสุก 1/3 ถ้วยตวง)
น้ำต้มสุก 3 ถ้วยตวง
เกลือ 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
- ถ้าใช้มะม่วงดิบ ให้ล้างทำความสะอาดแล้วปอกเปลือก เอาแต่เนื้อมะม่วงใส่
เครื่องปั่น เติมน้ำเชื่อม น้ำต้มสุก เกลือป่น ปั้นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบใจ นำไปแช่เย็นหรือจะดื่มกับเติมน้ำแข็ง น้ำมะม่วงดิบ
จะมีสีขาวขุ่น รสเ์้ปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย
- ถ้าใช้มะม่วงสุกก็ลด น้ำเชื่อมลงใส่น้ำเชื่อมลง ใส่เพียง 1/3 ถ้วยตวงเท่านั้น ชิมรสชาติให้ออกเปรี้ยวอมหวาน

ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารของมะม่วง

-มีไฟเบอร์สูง ช่วยในการย่อยอาหาร และระบบเผาผลาญพลังงาน
-มะม่วงมีวิตามิน C ,A แคลเซียม ,ฟอสฟอรัส ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
-โปแตสเซียม และทองแดง ช่วยให้ร่างกาย ทำงานเป็นปกติ ปรับสมดุลภายใน
-สารฟลาโวนอยด์ กำจัดไขมันในเลือดได้
-สารไตรเทอปีน ช่วยต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งผิวหนัง
-กรดอะมิโนทริปโตเแฟน ช่วยให้ร่างการหลั่งฮอร์โมนโนเซโรโทนิน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย

14.8.53

สมูทตี้เอพริคอตกับเต้าหู้

สมูทตี้เอพริคอตกับเต้าหู้
สมูทตี้เอพริคอตกับเต้าหู้

ส่วนผสม
• เอพริคอตแห้ง 100 กรัม
• เกรปฟรุต 1 ผล
• เต้าหู้อ่อน 100 กรัม
• อัลมอนด์ 5 กรัม
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย


วิธีทำ
• หั่นเนื้อเอพริคอตเป็นชิ้นหยาบๆ เกรปฟรุตปอกเปลือกแกะเฉพาะเนื้อเป็นชิ้นๆ เต้าหู้อ่อนหั่นเป็นชิ้นๆ นำทั้งหมดเข้าตู้เย็น แช่ไว้ให้เย็นจัดประมาณ 1 ชั่วโมง
• ใส่ส่วนผสมที่แช่เย็นแล้วลงในเครื่องปั่น ตามด้วยอัลมอนด์ น้ำเปล่า จนเนื้อเนื้อเนียน เทใส่แก้วดื่มขณะเย็น

***คุณค่าทางโภชนการ
• พลังงาน 167.7 กิโลแคลอรี
• พลังงาน 1.26 กรัม
• วิตามินเอ 115.45 ไมโครกรัม
• วิตามินซี 36 มิลลิกรัม
• ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม
• แคลเซียม 164.25 ไมโครกรัม

10.8.53

น้ำแอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล
น้ำแอปเปิ้ล
ส่วนผสม
แอปเปิ้ล 4 ผล(เขียวหรือแดงก็ได้)
น้ำเชื่อม 1ถ้วยตวง
น้ำต้มสุก 2 ถ้วยตวง
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อน่ชา

วิธีทำ
1.ปอกเปลือก เอาแกนกลางออก เมล็ดออก นำไปปั่นให้เข้ากันจนละเอียดเนียน ใส่น้ำเชื่อม น้ำมะนาว เกลือป่น
2.นำไปแช่เย็น หรือรับประทานกับน้ำแข็ง หรือดื่มได้เลย หรือใส์โถปั่นพร้อมน้ำแข็ง ปั้นให้ลเอียดรินเสิร์ฟได้ทันที

น้ำแอปเปิ้ล
แอปเปิ้ล เป็นผลไม้เมืองหนาว ไม้ยืนต้นทรงพุ่มกลม สูงประมาณ 5 เมตร ในประเทศไทยปลูกได้ทางภาคเหนือ แอปเปิลเป็นผลไม้มีเปลือกผล สีแดงและสีเขียว มีขนาดใหญ่ และยาวรี ขอบใบมีรอยคล้ายใบเลื่อยใบอ่อนจะมีขนอ่อนนุ่ม ๆ สั้น ๆ ทงั้ 2 ด้าน ดอกเป็นช่อสีขาวหรือชมพูเข้ม แอปเปิ้ลมี

ประโยชน์ต่อร่างกาย
แอปเปิ้ล มีวิตามิน c สูง มีเกลือแร่ มีเกลึอโปตัสเซียม ลดกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้รับบการขับถ่ายดีขึ้น ลดกรดในกระเพาะอาหาร
ละลายเสมหะ บำรุงกำลัง ขับร้อน แก้ท้องร่วง และ บารุงไต บารุงปอด
แอปเปิ้ล รับประทานสด เป็นผลไม้ใช้ทำพาย หรือทำผลไม้อบแห้ง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินC เป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินC จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม
มีวิตามินC ประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด
พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ
น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ
เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง
โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วย วิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินA B1B2 B6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก
ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน
สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินC และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน
เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ
ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง การดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก
และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก
เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์
ในทางโภชนาการแล้ว แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก
โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร
ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว
ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วยเพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย


ข้อมูลอ้างอิงจากบล็อก oknation